เปิดปีใหม่มานี้ต้องยอมรับว่ากระแสของ ESG (Environment, Social, Governance) มาแรงแบบหยุดไม่อยู่ หลายคนก็คิดลังเลใจว่า จะลงทุนซื้อกองทุนพวก ThaiESG ดีหรือไม่เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เเละเขาก็ต่อต้านพวก Climate Change แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีวาระนะครับ เค้าไม่ได้เป็นประธานาธิบดีตลอดกาล เค้าคนเดียวจะต้านกระแสทั่วโลกโดยเฉพาะใน EU ได้หรือ แถมการลงทุนมันต้องยาวนานถึงสามารถเก็บดอกออกผล ดังนั้น ESG เป็นกระแสที่ควรเกาะติดจริงๆ
สืบเนื่องจากโพสล่าสุด หลักสูตร ESG ที่น่าสนใจ ที่เป็นหลักสูตรที่ผมออกแบบมากับมือและถูกเลือกเป็นหลักสูตร ซึ่งเป็นหลักสูตร 1 ใน 15 หลักสูตรของโครงการ ESG Scholarship 2568 ดำเนินการโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และสนับสนุนงบประมาณจาก CMDF เนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จาก Data และเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลมาสร้างความได้เปรียบจากการ Implement ESG ในองค์กร
ในช่วงการของการเตรียมสอน ผมและทีมงานทำการบ้านหนักมาก ในการ
1) คัดสรรผู้สอน ที่คิดว่าสอนดี พูดรู้เรื่อง น่ารัก อิอิ
2) หาหนังสือดี ๆ ด้าน ESG Data
วันนี้มาพูดถึงหนังสือ 1 เล่ม เกี่ยวกับ ESG Data ซึ่งผมเองก็หาอยู่นานเพื่อมาเตรียมการสอนในหลักสูตรนี้ (โดยหลักสูตร "ESG Data Analytics & Emerging Technology Leverage Data to Sustainable Growth" รวบรวมเนื้อหาจากงานวิจัยและหนังสือรวมทั้งเครื่องมือการวิเคราะห์ที่สำคัญๆ มาสอนแบบจุกๆ)
แน่นอนว่าหนังสือ ESG Data คงหาไม่ได้ในไทย ผมหาอยู่นาน สุดท้ายต้องสั่งตรงจาก Amazon
ชื่อหนังสือ Navigating Sustainability Data: How Organizations can use ESG Data to Secure Their Future
อ่านแล้วคิดว่ามีประโยชน์ ขอสรุปใจความสำคัญว่าทำไม ESG Data ถึงมีความสำคัญกับองค์กร เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในประเทศไทยดังนี้
1) หนังสือเล่มนี้เริ่มจากการตอบ Why ESG Data is important โดยการอธิบายความสำคัญของ ESG Data ด้วย ABC Model
A = Access to capital คือการเข้าถึงเม็ดเงินลงทุน เรื่องนี้ในอดีตอาจดูห่างไกล แต่ใกล้จะคืบคานเข้าในอุตสาหกรรมไทยแล้ว โดยวันพฤหัสที่ผ่านมาผมไปเข้าร่วมโครงการ SETCarbon ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยระบบ SETCarbon นี้สุดยอดมากเริ่มจากที่สามารถกรอกข้อมูลการใช้คาร์บอน ออกรายงานได้ ไปจนถึงสามารถทวนสอบได้ด้วย ตลอดจนไปถึงตลาดคาร์บอน และในอนาคตจะมีการจัดลำดับธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูง กลาง ต่ำ และการเข้าถึงเเหล่งเงินทุนของธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำในอนาคตก็จะมีมากกว่าบริษัทที่ปล่อยคาร์บอนสูง
B = Business Growth and Efficienies คือ หนังสือพยายามหา Used case ว่าการให้ความสำคัญกับ ESG สามารถสร้างความเติบโตทางธุรกิจได้อย่าไร โดยการเติบโตทางธุรกิจอาจมาจาก 1) ต้นทุนทางธุรกิจขององค์กรที่ใส่ใจต่อ ESG จะต่ำกว่าองค์กรที่ไม่ใสใจ เรื่องที่จับต้องได้ในประเทศไทยคือการจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. Climate Change (ฉบับร่าง) ในปี 2569 ซึ่งจะปรากฎต้นทุนคาร์บอนในธุรกิจ ดังนั้นองค์กรที่เริ่มใส่ใจต่อพลังงานทางเลือก (renewable energy) ก็จะมีต้นทุนต่ำกว่าพลังงาน Fossil เป็นต้น 2) เค้าว่ากันว่าองค์กรที่ใส่ใจ ESG จะสามารถ attract talent เข้ามาทำงานได้มากกว่า คนกลุ่มนีี้ก็สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ดีกว่า เป็นต้น
C = Compliance and Regulation คือการต้องปฏิบัติตามผู้ควบคุมกฎ อันนี้ชัดเจนในตัวโดยไม่ต้องอธิบาย
2. หนังสือเล่มนี้ได้มีการอธิบายว่า What is ESG Data?
ดูเหมือนจะตอบง่ายว่าอะไรคือ ESG Data แต่หลายบริษัทก็ต้องกุมขมับว่าจะเริ่มจัดเก็บข้อมูลอะไรดี หนังสือก็เริ่มจากการอธิบายว่า ESG Data มี types ที่ควรจะเป็นอะไรบ้าง เช่น Macro vs Micro Data / Backward vs Farward Data แต่ผมมาขมวบปมเองว่า ESG Data อาจแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1) ESG Data ที่เอาไว้เปิดเผย เช่นการจัดทำรายงานประเภทต่าง ๆ โดย อาจอ้างอิงจากการทำ SD Report ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
2) ESG Rating คือการจัดอันดับด้าน ESG จะมีประโยชน์ในมุมของ Investor เป็นหลัก โดยถ้าหากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาจใช้กรอบการจัดอันดับของ ESG FTSE Russell
2 องค์ประกอบนี้ก็พอจะเห็นภาพว่าองค์กรต้องเก็บข้อมูลอะไรบ้าง
3. หนังสือเล่มนี้มีพูดถึง Maturity ESG Data, Standard ที่เกี่ยวกับ Sustainability Data
หากสนใจอยากรู้จักผู้แต่งดูได้จาก Sherry Madera
ผมปิดจบตรงนี้ว่าหากใครสนใจก็สามารถสั่งหนังสือได้ครับ เล่มนี้ดีเลยทีเดียว หรือหากไม่อยากซื้อ เนื้อหาแนวนี้จะสอนอยู่ในหลักสูตร "ESG Data Analytics & Emerging Technology Leverage Data to Sustainable Growth" ซึ่งผมสอนเองในส่วนนี้ (ซึ่งเป็นส่วน Introduction ของ Course) ส่วนอาจารย์ท่านอื่นจะเข้ามาสอนในเชิงเทคนิคพวกเครื่องมือการวิเคราะห์ตลอดจน AI และ Emerging Technology โดยหากใครสนใจยังคงสมัครขอทุนได้อยู่นะครับ
สนใจคลิกที่ลิงค์นี้ครับ หลักสูตรนี้จะอยู่ใน กลุ่ม ESG Professional Development ด้านล่างสุด
อ. หน่ง
กระแสนิยมเกี่ยวกับ ESG Data

18 ม.ค. 2568